หุ้นไทย (22 ก.ย.64) ปิดการซื้อขาย +4.73 จุด


โดย PPTV Online

เผยแพร่




หุ้นไทย (22 ก.ย.64) ปิดการซื้อขาย +4.73 จุด ที่ระดับ 1,619.59 จุด มูลค่าการซื้อขาย 79,028.45 ล้านบาท

ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่

ศบค.ย้ำ ร่างพ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.บ.โรคติดต่อ ยังไม่มีผลบังคับใช้

ผลการศึกษา "ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นแบบในชั้นผิวหนัง" ทางเลือกบูสเตอร์ในอนาคตหากต้องการประหยัดวัคซีน

SCB มูลค่าการซื้อขาย 4,605.20 ล้านบาท ปิดที่ 109.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท

TRUE     มูลค่าการซื้อขาย  2,984.11  ล้านบาท  ปิดที่    3.72 บาท  เพิ่มขึ้น  0.34 บาท

ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 2,787.89 ล้านบาท ปิดที่ 196.50 บาท เพิ่มขึ้น 3.50 บาท

KBANK   มูลค่าการซื้อขาย 2,488.88 ล้านบาท ปิดที่ 122.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท

EE          มูลค่าการซื้อขาย  2,212.35  ล้านบาท  ปิดที่    1.94 บาท  เพิ่มขึ้น  0.23 บาท

นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งตัว sideway ระหว่างรอผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ขณะที่ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นมาหลังลบไปในช่วงเช้าน่าจะคลายความกังวลปัญหาหนี้ของไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป จากที่รัฐบาลจีนเขามาช่วยระดับหนึ่ง โดยราคาหุ้นไชน่า เอเวอร์แกรนด์ ปรับตัวลงไปกว่า 80% ถือว่าตอบรับไปพอสมควรแล้ว

ส่วนการประชุมเฟด คาดว่าจะส่งสัญญาณปรับลดวงเงินซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE Tapering) ซึ่งจะทราบในวันพรุ่งนี้ตามเวลาในประเทศไทย โดยตลาดฯคาดว่าเฟดจะลด QE ลง 1-1.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ/เดือน ซึ่งหากรอบนี้เฟดไม่รีบปรับลด QE แต่ไปประกาศในเดือน พ.ย.64 ตลาดหุ้นจะกลับมา แต่หากเฟดลด QE มากกว่าคาดก็อาจทำให้ตลาดก็ปรับตัวลงต่อ

แม้ว่าจะผ่านเรื่องปรับลด QE ไปได้แต่ก็ยังมีประเด็นโอกาสที่สหรัฐจะปรับขึ้นภาษีนิติบุคคลกดดันอยู่ โดยเดือน ก.ย.-ต.ค.น่าจะเห็นความผันผวนตลาด เพราะผลประกอบการของบริษัทเอกชนในสหรัฐน่าจะออกมาไม่ดีนัก รวมถึงบริษัทจดทะเยบียนของไทยเนื่องจากไตรมาส 3/64 ซึ่งน่าจะได้รับผลกระทบมาตรการล็อกดาวน์ แต่ขณะนี้สถานการณ์ผ่อนคลายมากขึ้นแล้ว

แนวโน้มตลาดในวันพรุ่งนี้ คาดแกว่งตัว sideway รอความชัดเจนการประชุมเฟด พร้อมให้แนวรับ 1,592 และ 1,600 จุด แนวต้านที่ 1,635 และ 1,640 จุด

หุ้นไทย (22 ก.ย.64)   ปิดการซื้อขายเช้า +1.68 จุด ที่ระดับ 1,616.54 จุด มูลค่าการซื้อขาย 41,153.94 ล้านบาท

หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์

ยอดจ่ายสินไหมประกันโควิดเกือบ 9,500 ล้านบาท

สัมภาษณ์พิเศษ : ก้าวต่อไปของ สตาร์ทอัพสายเทคโนโลยี ดีพเทค (Deep Tech) ในเมืองไทย

SCB มูลค่าการซื้อขาย 3,061.70 ล้านบาท ปิดที่ 110.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท

ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 2,060.93 ล้านบาท ปิดที่ 197.00 บาท เพิ่มขึ้น 4.00 บาท

DELTA มูลค่าการซื้อขาย 1,587.00 ล้านบาท ปิดที่ 480.00 บาท ลดลง 18.00 บาท

KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,502.94 ล้านบาท ปิดที่ 122.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท

EE มูลค่าการซื้อขาย 1,118.81 ล้านบาท ปิดที่ 1.86 บาท เพิ่มขึ้น 0.15 บาท

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้แก่งตัวในกรอบแคบ นักลงทุนเฝ้ารอผลประชุมธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) คืนนี้ ขณะที่ค่าเงินเริ่มนิ่ง เงินดอลลาร์สหรัฐไม่ได้แข็งค่ามาก และเงินบาทก็ไม่ได้อ่อนค่าลงมากเข่นกัน ซึ่งคงรอผลประชุมเฟดเช่นกัน โดยเฉพาะการปรับลดวงเงินซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE Tapering) จะมีไทม์ไลน์การปรับลดชัดเจนอย่างไร และจะลดวงเงินจากที่มี 1.2 แสนล้านเหรียญสหรัฐอย่างไร โดยตลาดฯคาดเฟดจะปรับลด 1.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ/เดือน ซึ่งก็จะใช้เวลา 8 เดือน และจะเริ่มลดในช่วงไหน

ส่วนอัตราดอกเบี้ยคาดว่าจะคงระดับต่ำต่อไป แต่จะมีมุมมองแนวโน้มการปรับขึ้นเมื่อใด โดยตลาดฯคาดว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยหลังลด QE แล้ว คาดว่าในปี 65 อัตราดอกเบี้ยจะทรงตัวระดับต่ำ และจะปรับขึ้นในปี 66 จำนวน 2 ครั้งๆ ละ 0.25% แต่รอบนี้อาจจะจับสัญญาณณจากประธานเฟดแต่ละสาขามีความเห็นว่าจะเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้นหรือไม่ ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ก็จะกดดันตลาดหากดอกเบี้ยออกมา surprise ก็อาจมีจังหวะตลาดปรับฐาน

นอกจากนี้ ยังต้องติดตามปัญหาหนี้ของไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป ที่มองว่าน่าจะมีโอกาสผิดนัดชำระหนี้สูง ซึ่งก็ต้องจับตาดูว่าทางการจีนจะแก้ไขปัญหาอย่างไร ทั้งนี้จากปัจจัยข้างต้นเป็นตัวกดดันตลาดโดยรวมในระยะสั้น

แนวโน้มตลาดในช่วงบ่าย คาดว่าตลาดฯยังคงแกว่งตัวในกรอบแคบระหว่างรอผลประชุมเฟด โดยให้แนวรับที่ 1,605 จุด แนวต้านที่ 1,620 จุด

นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงดัชนี SET น่าจะแกว่งตัวในกรอบแคบเพื่อรอดูตัวเลขการปรับลดวงเงินซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE Tapering) จากการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะแถลงคืนวันนี้ โดยให้มุมมองว่า หากมีแถลงการณ์ปรับดอกเบี้ยขึ้นเร็ว จากเดิมในปี 66 มาเป็นปลายปี 65

ราคาทองวันนี้ – 22 ก.ย. 64 ปรับราคา 2 ครั้ง รูปพรรณบาทละ 28,600

แบงก์ชาติ หนุน ขยายเพดานหนี้สาธารณะ เพิ่มความยืดหยุ่นทางการคลัง

เชื่อว่าตลาดหุ้นมีโอกาสสูงมากที่จะลงไปต่ำกว่า 1,585 จุด และอีกปัจจัยสำคัญ ต้องติดตามว่าบริษัท ไชน่า เอเวอร์แกรนด์ จะมีความสามารถในการชำระหนี้ก้อนแรก มูลค่าราว 83.5 ล้านเหรียญสหรัฐในวันที่ 23 ก.ย.นี้ได้หรือไม่

เช้านี้ตลาดหุ้นเอเชียส่วนมากก็แกว่งในกรอบแคบบวก/ลบ 0.5% รวมไปถึง ทองคำ, Dollar Index, Bond Yield และตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็เริ่มกลับมาแกว่งอยู่ในกรอบแคบเช่นเดียวกัน

สำหรับคำแนะนำการลงทุน ต้องจับตาหุ้นกลุ่มแบงก์ คาดว่าวันนี้อาจจะยังเห็น SCB มีการเก็งกำไรกันต่อได้จากเมื่อวาน และอีกตัวที่น่าสนใจคือ TISCO เพราะประเมินไตรมาส 3-4/64 หุ้นกลุ่มแบงก์อาจจะมี NPL ปรับตัวขึ้น แต่คาดว่า TISCO น่าจะมี NPL อยู่ในระดับเดิมได้ และแนะนำลงทุน SCGP

พร้อมให้แนวรับที่ 1,610 จุด และแนวต้านที่ 1,620 จุด

บล.ไทยพาณิชย์  เคลื่อนไหวในกรอบ 1600-1626 จุด รอผลประชุมเฟดคืนนี

กลยุทธ์การลงทุน:

คาด SET เคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 1600-1626 จุด และให้ระวังความผันผวนจากหุ้น free float ต่ำ ด้านปัญหาหนี้ Evergrande ตลาดคลายกังวลลง อย่างไรก็ตาม ยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด และรอประเด็นสำคัญในช่วงดึกคืนนี้สำหรับผลประชุมเฟดเกี่ยวกับการลด QE และแนวโน้มดอกเบี้ย กลยุทธ์การลงทุนใช้การ Selective Buy หรือเก็งกำไรอย่างระมัดระวัง

ล็อคเป้าลงทุน:

> Selective buy ใน 2 ธีม 1) ธีมหลัก: หุ้นได้อานิสงส์เปิดประเทศเพิ่มขึ้น กระตุ้นกำลังซื้อ-หนุนภาคท่องเที่ยว AOT CRC BEM ZEN HMPRO BDMS SPALI ERW MINT 2) ธีม trading idea: 2.1) หุ้นส่งออกได้ประโยชน์บาทอ่อน KCE HANA TU NYT 2.2) commodity plays NER TWPC

> แนะนำ 5 หุ้น Top Picks ประจำ 4Q64 ได้แก่ หุ้น domestic reopening ที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเมือง คือ BEM ZEN และหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว แนวโน้มกำไรยังมีการเติบโตที่ดี KCE OSP SECURE (ติดตามอ่านรายละเอียดได้จากบทวิเคราะห์กลยุทธ์การลงทุนไตรมาส 4/2564 ในวันนี้)

 

สถานการณ์อื่นๆ 

ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (21 ก.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,919.84 จุด ลดลง 50.63 จุด (-0.15%),ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,354.19 จุด ลดลง 3.54 จุด (-0.08%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,746.40 จุด เพิ่มขึ้น 32.50 จุด (+0.22%)

ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ 3,563.21 จุด ลดลง 50.76 จุด (-1.40%), ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 29,744.73 จุด ลดลง 94.98 จุด (-0.32%) และดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดทำการวันนี้ (22 ก.ย.) เนื่องในเทศกาลไหว้พระจันทร์

ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ต.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (21 ก.ย.) ปิด 70.56 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 27 เซนต์ หรือ 0.6%

ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (21 ก.ย.) อยู่ที่ 5.31 ดอลลาร์/บาร์เรล

เงินบาทเปิด 33.38/40 แนวโน้มอ่อนค่า จับตาสัญญาณการทำ QE จากที่ประชุมเฟด

TOP เศรษฐกิจ
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ