ทิศทางธุรกิจประกันภัย 65 หลังเผชิญมรสุม "เจอ จ่าย จบ" จากโควิด-19


โดย PPTV Online

เผยแพร่




คปภ.เผย ทิศทางการดำเนินการปี 65 ของธุรกิจประกันภัย ถอดบทเรียนเหตุการณ์ที่ผ่านมา พร้อมวางแผนพร้อมรับกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น เป็น “มาตรการเร่งด่วน” เพื่อ “หยุดการลุกลาม” ฟื้นฟูและช่วยเหลือบริษัทเป้าหมายที่อาจประสบปัญหาเพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดของ สายพันธุ์โอมิครอน

ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า การเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมของผู้บริโภค และความเสี่ยงใหม่ที่รุนแรงขึ้นรวมถึงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและสุขภาพของประชาชนในวงกว้าง อีกทั้งยังคงขยายต่อเนื่องไปในปี 2565 ธุรกิจประกันภัย ก็ได้รับผลกระทบในหลายมิติเช่นกัน เห็นได้จากการขยายตัวเพียงเล็กน้อยของเบี้ยประกันภัย ทั้งธุรกิจประกันชีวิตและประกันวินาศภัย รวมทั้งกรณีการถูกเพิกถอนใบอนุญาตการประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย

"5 ปัจจัยเสี่ยงธุรกิจประกันภัยไทย" ที่ยังต้องเผชิญความท้าท้าย

อิสราเอลเจอ ภาวะ Florona (ฟลอโรนา) เป็น ไข้หวัดใหญ่-โควิด-19 พร้อมกัน

ขณะที่การทดสอบภาวะวิกฤตล่าสุด ยังคงไม่พบความเสี่ยงในเชิงระบบประกันภัยในภาพรวม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าระบบประกันภัยไทยยังมีความแข็งแรงในเชิงระบบ และสามารถตอบสนองกับความเสี่ยงและเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที ตลอดจนประชาชนหันมาให้ระบบประกันภัยเพื่อการบริหารความเสี่ยงมากขึ้น

4,000 เที่ยวบินทั่วโลกถูกยกเลิกช่วงปีใหม่ พิษโอมิครอนระบาด

ปี 2564 เป็นปี “แห่งความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง” เศรษฐกิจและสังคมไทยกําลังเผชิญกับความท้าทายในหลายมิติ สภาพเศรษฐกิจที่ถดถอย การเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคม

นอกจากนี้ ทิศทางการดำเนินงานในระยะข้างหน้าจะต้องถอดบทเรียนเหตุการณ์ที่ผ่านมา พร้อมกับการวางแผนและเตรียมพร้อมรับกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น เป็น “มาตรการเร่งด่วน” เพื่อ “หยุดการลุกลาม” ฟื้นฟูและช่วยเหลือบริษัทเป้าหมายที่อาจประสบปัญหา ควบคู่กับการเร่งกอบกู้ศรัทธาและความเชื่อมั่นให้กลับคืนมาสู่ธุรกิจประกันภัย พร้อมทั้งต้องเสริมสร้างความทนทานยืดหยุ่นและเสถียรภาพของระบบประกันภัยโดยรวมด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับปรุงกรอบการกำกับดูแลให้ “เท่าทัน” การส่งเสริมการสู่ “Digital Insurance” การสร้าง “Inclusion และ Awareness” รวมถึงการมุ่งสู่ “SMART OIC” เพื่อเอื้ออำนวยให้ธุรกิจประกันภัยสามารถพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ได้อย่างเต็มรูปแบบด้วย 5 มิติหลัก

มิติที่ 1 การเสริมสร้างความทนทานยืดหยุ่นและเสถียรภาพของระบบประกันภัย ซึ่งถือเป็นมาตรการเร่งด่วนในระยะสั้นที่ต้องรีบดำเนินการ เพื่อรับมือกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอน  เพิ่มมาตรการช่วยเหลือต่างๆ  ปรับกระบวนการกำกับดูแลธุรกิจให้สะท้อนความเสี่ยง  ประเมินสถานการณ์ให้รอบด้าน ทั้งโอกาสและแนวโน้มต่าง ๆ เพื่อให้สามารถกำหนดมาตรการรับกับสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงทีและตรงจุด ควบคู่กับการกำหนดมาตรการและแนวทางในการ “ฟื้นฟู” และ “สร้างความเข้มแข็ง” ให้กับธุรกิจ ขั้นตอนต่อไป ต้องติดตามและเฝ้าระวัง Systemic risk และความเสี่ยงทั้งในระบบประกันภัยและระบบการเงิน

มิติที่ 2 การปรับปรุงกฎเกณฑ์และมาตรการให้เท่าทันบริบทที่เปลี่ยนแปลงและปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจใหม่ โดยการปรับกรอบการกำกับดูแล พัฒนาฐานข้อมูล และเครื่องมือใหม่ รวมทั้งนำเทคโนโลยีมาใช้ในการกำกับดูแลธุรกิจเช่นการนำ Data analysis มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน นอกจากนี้ การกำกับดูแลและส่งเสริมผลิตภัณฑ์ประกันภัย จะต้องปรับโดยคำนึงถึงความสามารถในการรับความเสี่ยงของบริษัท และความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์มากขึ้น

 

มิติที่ 3 การส่งเสริม Digital Insurance System ในการ transform ธุรกิจประกันภัย โดยสำนักงาน คปภ. จะเป็น Facilitator สนับสนุนให้ธุรกิจและผู้ประกอบการสามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อให้บริการ เข้าถึงและพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการที่ตรงความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น พร้อมกับนำมาใช้ในกระบวนการดำเนินธุรกิจ end-to-end process เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขัน

มิติที่ 4 ในปี 2565 สำนักงาน คปภ. จะนำระบบ e-licensing มาใช้เป็นฐานข้อมูลของคนกลางประกันภัยอย่างครบวงจร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและการเชื่อมโยงข้อมูลมากขึ้น นอกจากนี้ จะปรับปรุงให้กระบวนการของสำนักงานมีความรวดเร็ว ประชาชนสามารถตรวจสอบข้อมูลต่าง ๆ ได้โดยสะดวก และ real time พร้อมกับถอดบทเรียนต่าง ๆ เพื่อกำหนดมาตรการป้องกันและลดการเกิดข้อพิพาทให้ดียิ่งขึ้น เพื่อเสริมประสิทธิภาพของกระบวนการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัย 

มิติที่ 5 การพัฒนาองค์กรมุ่งสู่ SMART OIC   เพื่อการ transform องค์กรสู่ Digital regulators ในทุกมิติ

อย่างไรก็ตาม สำหรับธุรกิจประกันภัยไตรมาสสาม (มกราคม-กันยายน 2564) มีเบี้ยประกันภัยรับรวมทั้งสิ้น 631,826 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 2.98 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้สัดส่วนเบี้ยประกันภัยต่อ GDP อยู่ที่ร้อยละ 5.30 แบ่งเป็นเบี้ยประกันภัยรับจากธุรกิจประกันชีวิต 439,056 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 2.30 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีเบี้ยประกันชีวิตรับสูงสุด ได้แก่ ประกันชีวิตประเภทสามัญ 270,072 ล้านบาท ปรับตัวลดลงร้อยละ 4.31 รองลงมาเป็นประเภทกลุ่ม 30,952 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 2.28 และประกันชีวิตประเภทควบการลงทุน (Unit Linked และ Universal Life) 34,714 ล้านบาท ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 88.33

นอกจากนี้ ยังมีเบี้ยประกันภัยรับจากสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพ 68,297 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 7.97 ซึ่งสะท้อนถึงภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำและพฤติกรรมผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพมากยิ่งขึ้น

TOP เศรษฐกิจ
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ