นายพีรพล ฤทธิเพชรอัมพร ผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรปศุสัตว์ราชบุรี จำกัด มองว่าสถานการณ์การเลี้ยงหมูของไทย หลังเจอเหตุโรคระบาด ASF จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะการเลี้ยงหมูต่อจากนี้ฟาร์มหมูต้องปรับเป็นแบบ Biosecurity หรือ ระบบที่มีความปลอดภัยทางชีวภาพแบบระบบปิดเท่านั้น เพราะหากเลี้ยงแบบระบบเปิดก็มีความเสี่ยงที่หมูจะตายจากโรค ASF ได้ เนื่องจากเชื้อ ASF มีความคงทนในสภาพแวดล้อมได้นาน และตอนนี้ก็ยังไม่มีวัคซีนรักษา ทำให้มีโอกาสเสี่ยงที่หมูจะติดเชื้อตายได้ อีกทั้งต้นทุนการทำระบบ Biosecurity
ซากหมูตายถูกยัดในโอ่ง "ไม่มีที่ฝังกลบ"
ฟาร์มหมู เผย 2 ปีเนื้อหมูส่วนใหญ่ติดเชื้อASF
อย่างเช่น ค่าใช้จ่ายโดยประมาณต่อหมูแม่พันธุ์ 1 ตัว คือ 1 แสนบาท ถ้าหากฟาร์มขนาดเล็กเลี้ยงหมูแม่พันธุ์ 10 ตัว ก็ต้องใช้เงินลงทุน 1 ล้านบาท ซึ่งยังไม่นับรวมค่าปรับปรุงโครงสร้างอาคารและรายจ่ายอื่นๆที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทำให้ นายพีรพล กังวลว่าผู้เลี้ยงหมูรายเล็กจะกลับมาเลี้ยงหมูไม่ได้ และจะเหลือแค่ผู้เลี้ยงรายใหญ่เท่านั้น พร้อมเสนอให้ภาครัฐเร่งพัฒนาวัคซีน ASF พักชะลอหนี้เดิมให้ผู้เลี้ยงหมูรายเล็ก และสนับสนุนแหล่งเงินทุน นอกเหนือจากเงินเยียวยาจากภาครัฐ
ด้าน ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักวิจัยด้านไวรัสวิทยาไบโอเทค-สวทช. โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่าเชื้อ ASF เป็นไวรัสที่มีโครงสร้างซับซ้อนมาก ทำให้การพัฒนายาต้านไวรัสตัวนี้ทำได้ลำบาก และมีเคยมีการตีพิมพ์ข้อมูลเชิงวิชากรว่าเชื้อ ASF สามารถอยู่ภายนอกเซลล์ เช่น เลือดสุกรที่ติดเชื้อ และแช่ในอุณหภูมิตู้เย็นช่องธรรมดาที่ 4 องศา ซึ่งเชื้อสามารถอยู่ได้ยาวนานถึง 6 ปี โดยที่ไวรัสยังมีคุณสมบัติแพร่กระจายเชื้อได้อยู่
อีกทั้งการนำหมูที่ติดเชื้อไปรวมกัน เช่น ในโอ่ง โดยไม่มีการทำลายอย่างถูกต้อง ก็จะเป็นแหล่งสะสมของไวรัสจำนวนมหาศาล ถึงแม้ว่าซากสัตว์อาจจะเปื่อยเน่าไปแล้ว แต่จากข้อมูลยืนยันว่าน้ำยาฆ่าเชื้อที่ใช้ได้ผลกับไวรัสทั่วไป ก็น่าจะยังใช้ได้ผลกับเชื้อ ASF แต่อาจจะต้องให้เวลาน้ำยาสัมผัสกับพื้นที่ปนเปื้อนนานขึ้น พร้อมยืนยันว่าโรคนี้จะไม่ติดเชื้อจากสัตว์สู่คน ดังนั้นการรับประทานอาหารที่มี ASF ไม่มีประเด็นต่อการติดเชื้อในคน