‘ล้อพูนผล ’ โรงสีข้าวสไตล์ลอฟท์ ใช้ไอเดีย ‘อิฐแดง’ แก้ปัญหาสภาพอากาศ ไม่เพียงแค่สวยแต่ยังตอบโจทย์การใช้งาน จนคว้ารางวัลดีไซน์โดดเด่นไปครอง
การปลูกข้าวเกิดขึ้นควบคู่กับวัฒนธรรมไทยมานานกว่า 5,500 ปีมาแล้ว มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์สำคัญบนเครื่องปั้นดินเผาที่เป็นภาชนะไว้ใส่ในข้าว ในสมัยสุโขทัยที่ถูกบันทึกไว้ในศิลาจารึกว่า “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว”
นอกจากนี้ในสมัยอยุธยายังพบการเปิดเสรีทางการค้ากับต่างประเทศด้วย เป็นที่มาให้ ‘ข้าว’ เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเป็นสินค้าส่งออกของประเทศไทยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไทยจึงได้ชื่อว่าเป็นแผ่นดินที่ผลิตข้าวเลี้ยงชาวโลกอยู่ในลำดับต้น ๆ
เปิดจุดเช็กอิน ‘ฉุยฟง คาเฟ่ 2’ ชมไร่ชาคว้ารางวัลดีไซน์ เพื่อคนทั้งมวล
“อารมณ์ ออร์คิด” คาเฟ่ในสวนกล้วยไม้ ใต้สถาปัตยกรรมไม้ไผ่ระดับรางวัล
โรงสีล้อพูนผล
จากเดิมที่ชาวนาจะนำข้าวเปลือกที่เก็บเกี่ยวไปตากแดดจนแห้งและเก็บไว้ในยุ้งฉาง เมื่อจะบริโภคจึงนำมาตำเป็นข้าวสารครั้งละจำนวนน้อยให้พอบริโภคในระยะเวลาสั้น ๆ ต่อมาเมื่อมีการติดต่อกับชาวต่างชาติ มีการขยายเนื้อที่เพาะปลูกเพิ่มมากขึ้น วิธีการแปรรูปข้าวด้วยการ ‘ตำข้าว’ ไม่สามารถตอบสนองความต้องการที่มากขึ้นได้ จึงเกิดการตั้ง ‘โรงสีข้าว’ ขึ้น
แต่โรงสีข้าวรูปแบบไหนที่จะตอบโจทย์การทำงานมากที่สุดนั้น ทีมข่าวนิวมีเดียพีพีทีวีได้ถอดบทเรียนการออกแบบ ‘โรงสีล้อพูนผล’ หนึ่งในโรงสีที่จัดเป็นศูนย์กลางผลิตและรับซื้อวัตถุข้าวเปลือกรายใหญ่ของประเทศไทย ที่เพิ่งได้รับรางวัลสถาปัตยกรรมดีเด่น ประเภทอาคารสำนักงานและพานิชยกรรมมาหมาด ๆ มีข้อมูลที่น่าสนใจดังนี้
รีดีไซน์โรงสี ตอบโจทย์การใช้งาน
สำหรับ บริษัท ล้อพูนผลไรซ์มิลล์ จำกัด (Lorphoonphol Rice Mill Office) ถือเป็นโรงสีขนาดใหญ่ในจังหวัดนครสวรรค์ (กำลังสี 500 ตันต่อ 24 ชั่วโมง) จัดเป็นศูนย์กลางการผลิตและรับซื้อวัตถุดิบข้าวเปลือกที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ
แต่ด้วยความที่พื้นที่ตั้งของโครงการอยู่บริเวณภาคเหนือตอนล่างเกือบจะภาคกลาง บริเวณนี้มักมีปริมาณน้ำท่วมสูงและความชื้นที่จะมีผลกระทบต่อการเก็บรักษาคุณภาพข้าว ดังนั้นการลดความชื้นให้โรงสีจึงสำคัญ
เป็นที่มาให้ ถวิล ล้อพูนผล เจ้าของสำนักงานล้อพูนผลไรซ์มิลล์ ต้องการเนรมิตอาคารหลังเก่า ให้กลายเป็นอาคารที่มีห้องแล็บ (Lab) ในการตรวจวัดระดับความชื้นและคุณภาพของข้าวที่ได้รับมาจากเกษตรกร ก่อนจะทำการซื้อขายกัน และมีที่นั่งพักคอยให้เกษตรกรอย่างสะดวกสบาย ระหว่างรอการตีราคาข้าวในตัวอาคารตามคุณภาพจากห้องแล็บด้วย
โจทย์ดังกล่าว นำไปสู่การปรับปรุงส่วนสำนักงานทั้งหมด โดยฟังก์ชันที่ถูกเพิ่มเติมเข้าไปจากอาคารเก่าจะมีพื้นที่พักคอยของเกษตร, ส่วนพิสูจน์คุณภาพข้าว, ห้องประชุม และ โรงอาหารสำหรับพนักงานในโรงสี ก่อนจะเริ่มวางผังส่วนต่อเติมในอนาคตของโครงการต่อไป
โดยเขาออกแบบตัวอาคาร แบ่งออกเป็น 2 ชั้น ดังนี้
ชั้นที่ 1
- พื้นที่พักคอยชาวนาส่วนออฟฟิศซื้อขาย
- ส่วนพิสูจน์คุณภาพข้าว
- โรงอาหารสำหรับพนักงานในโรงสี
ชั้นที่ 2
- พื้นที่โครงการต่อเติมในอนาคต
- ห้องถ่ายทำ (Studio)
- พื้นที่กักเก็บ ส่วนสนับสนุนพื้นที่ออฟฟิศหลัก
แก้ปัญหาด้วยอิฐและช่องลม
สำหรับวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการก่อสร้าง พลวิทย์ รัตนธเนศวิไล สถาปนิก เล่าให้ฟังว่า เขาเลือกใช้ ‘อิฐมอญแบบซ้อนกันเป็นสามเหลี่ยม (Triangular shape brick)’ เพราะสามารถลดความเสี่ยงที่น้ำจะไหลย้อนเข้าไปในแนวปูน และลดความเสียงที่จะนำพาความชื้นเข้าไปในตัวอาคารได้ โดยเฉพาะห้องแล็บที่เอาไว้ตรวจคุณภาพของข้าว ไม่เพียงเท่านั้นยังลดการเกาะของฝุ่นในช่วงล่างของอิฐเป็นพื้นที่เกือบครึ่งของผนังทั้งหมดในโครงการได้ด้วย ซึ่งตอบโจทย์การใช้งานของเจ้าของโครงการ
ที่สำคัญอิฐมอญแบบซ้อนกันเป็นสามเหลี่ยม ช่วยป้องกันความชื้นที่จะซึมเข้ามาในตัวอาคารได้ดีกว่า คอนกรีตมวลเบา และราคาถูกกว่างานคอนกรีตหล่อ ซึ่งราคาค่อนข้างสูงในแง่ของการก่อสร้าง หากใช้งานในประเทศไทย
อิฐมอญแบบซ้อนกันเป็นสามเหลี่ยม (Triangular shape brick)
อิฐมอญแบบซ้อนกันเป็นสามเหลี่ยม (Triangular shape brick)
ส่วนด้านหลังของอาคารที่มีพื้นที่ติดกับตัวอ่างเก็บน้ำ สถาปนิกได้ออกแบบให้วัสดุหลักเป็นผนังบล็อคลมขนาดใหญ่ เพื่อให้ลมหมุนเวียนได้ดีขึ้นในบริเวณที่พักทานข้าวของพนักงาน และทำการเว้นบางส่วนของผนังอิฐโดยการออกแบบกล่องเหล็กพับเข้าไป เพื่อให้มีทางผ่านของลม (Air ventilation) ไม่ให้ตัวอาคารเก็บกักฝุ่นที่เกิดจากการสีข้าวมากเกินไปภายในพื้นที่ห้องประชุม โรงอาหาร และส่วนพักของพนักงานด้วย
นอกจากการออกแบบดังกล่าวจะแก้ปัญหาของฝุ่นแล้ว ยังเพิ่มสุนทรียภาพของพนักงานที่สามารถใช้พื้นที่ริมน้ำ เพื่อการพักผ่อนในช่วงนอกเวลางาน และส่วนของเฟอร์นิเจอร์ภายนอกริมน้ำได้นำปลายแผ่นสุดท้ายของหินที่หาได้ง่ายและราคาถูกของท้องถิ่น มาทำเป็นที่พักผ่อนด้วย
อ่างเก็บน้ำด้านหลังของอาคาร
ส่วนประเด็นที่เจ้าของโครงการยังอยากรักษาโครงสร้างที่มีอยู่เดิมเอาไว้ สถาปนิกได้เลือกนำวัสดุอลูมิเนียนเจาะรู (Perforated aluminium sheet) มาใช้เป็นวัตถุดิบในการต่อเติมด้านบนสุดของอาคาร เพื่ออำพรางลักษณะของอาการเก่า และนำมาจัดวางในลักษณะบิดเอียง เพื่อเป็นตัวช่วยระบายอากาศ ไม่เก็บกักฝุ่น
ขณะเดียวกัน ผนังฝั่งรูป SECTION A ที่หันออกสู่สายตาผู้พบเห็น ได้ใช้ผนังอิฐก่อเว้นรู เพื่ออำพรางลักษณะอาคารเก่า และช่วยให้การระบายอากาศดีขึ้น นอกจากนี้ยังใช้เป็นช่องสำหรับห้องผู้บริหารที่อยู่ด้านหลัง ให้สามารถเห็นความเป็นไปต่าง ๆ ในโรงสี ผ่านช่องได้โดยไม่ถูกสังเกตุเห็น
อลูมิเนียนเจาะรู (Perforated aluminum sheet)
ผนังฝั่งรูป SECTION A
วิธีการรีดีไซน์และแก้ปัญหาผ่านมุมมองการใช้งานวัสดุท้องถิ่นใกล้ตัว อย่างโครงการโรงสีล้อพูนผลนี้ เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการใช้การออกแบบเข้ามาช่วยแก้ปัญหาที่น่าสนใจ เพราะบางครั้งการออกแบบที่ดีก็ไม่จำเป็นต้องใช้วัตถุดิบที่หรูหรา เพียงแค่เลือกใช้อะไรที่คุ้นเคยมาสร้างสรรค์วิธีการใช้ใหม่ ๆ ก็สามารถต่อยอดการออกแบบสถาปัตยกรรมให้ไปได้ไกล
ขอบคุณข้อมูลจาก : สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ และ ศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์