เมื่อเดือน เม.ย. ปี 2021 ที่ผ่านมา ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่างแอปเปิล (Apple) ได้เปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ นั่นคือ “AirTag” เป็นอุปกรณ์สำหรับติดตามสิ่งของ มีขนาดประมาณเหรียญ 10 บาท หรือกระดุมขนาดใหญ่ สามารถใส่ไว้ในกระเป๋า ห้อยกับพวงกุญแจ หรือของสำคัญอื่น ๆ ที่เรากลัวว่าจะหาย
เมื่อเชื่อมต่อ AirTag กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของเรา เช่น ไอโฟน ไอแพด ก็จะสามารถรู้ตำแหน่งของ AirTag ได้หากเผลอทำสูญหายไปผ่านแอปพลิเคชัน “Find My”
มูลค่าการตลาด “แอปเปิล (Apple)” ทะยาน 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
เตือนภัย AirTags โจรก่อเหตุขโมยรถยนต์ อาศัยช่องโหว่ อุปกรณ์ติดตาม
“แอปเปิล” เปิดตัว “แอร์แทค” (Airtag) ติดตามอุปกรณ์สูญหาย
อุปกรณ์ติดตามสิ่งของ หรือเครื่องมือสะกดรอยคน?
อย่างไรก็ตาม มีข้อกังวลเกี่ยวกับ AirTag เกิดขึ้น เมื่อเริ่มมีรายงานการใช้อุปกรณ์ดังกล่าวในทางที่น่ากลัว นั่นคือใช้ในการสะกดรอยคน หรือเป็นพฤติกรรมที่เข้าข่าย “สตอล์กเกอร์ (Stalker)”
แอมเบอร์ นอร์สเวิร์ทธี คุณแม่ลูกสี่วัย 32 ปี อาศัยอยู่ในมิสซิสซิปปี เธอเล่าว่า เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2021 เธอได้รับการแจ้งเตือนทางโทรศัพท์ บอกเธอว่ามีอุปกรณ์ที่ไม่รู้จักติดตามการเคลื่อนไหวของเธออยู่
เมื่อดูผ่านแอปฯ Find My บนไอโฟนของเธอ ก็พบว่า “มันแสดงเส้นทางทั้งหมดของฉัน มันบอกว่า 'ครั้งสุดท้ายที่เจ้าของอุปกรณ์เห็นตำแหน่งของคุณคือ 15:02 น. ... ซึ่งเป็นตอนที่ฉันอยู่บ้านแล้ว'”
บรูกส์ นาเดอร์ นางแบบชุดว่ายน้ำวัย 26 ปี เล่าว่า เมื่อต้นเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา ขณะเธอกำลังเดินกลับบ้านเพียงลำพังหลังไปกินข้าวช่วงกลางคืนในนิวยอร์ก เธอได้รับการแจ้งเตือนจากไอโฟน โดยมันบอกเธอว่า “เธอกำลังพกอุปกรณ์ที่ไม่รู้จักอยู่”
Broken Heart Syndrome ใครว่า "อกหัก" ไม่ถึงกับตาย!!
“อุปกรณ์นี้อยู่กับคุณมาระยะหนึ่งแล้ว เจ้าของสามารถเห็นตำแหน่งของมันได้” ไอโฟนเตือน นั่นทำให้เธอรู้ว่า “มีบางอย่างไม่ถูกต้อง”
เธอพบว่า มีใครบางคนแอบใส่อุปกรณ์ AirTag ไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ทของเธอขณะที่เธอนั่งอยู่ในร้านอาหารก่อนหน้านี้โดยที่เธอไม่รู้ตัว
อุปกรณ์ดังกล่าวติดตามตำแหน่งของเธอเป็นเวลาถึง 4 ชั่วโมงก่อนที่ระบบป้องกันของแอปเปิลจะแจ้งเตือนมายังโทรศัพท์ของเธอ
หรืออย่างเมื่อวันที่ 14 ม.ค. ตำรวจในเขตมอนต์กอเมอรี รัฐแมรีแลนด์ ได้รับโทรศัพท์จากบุคคลที่ถูก AirTag สะกดรอยตามจากโรงภาพยนตร์มาจนถึงบ้าน โดยพบ AirTag ติดอยู่กับรถยนต์ของเขา
ในช่วงเวลาเดียวกัน มีผู้หญิง 2 คนในแคลิฟอร์เนียโทรหาตำรวจหลังจากโทรศัพท์ของพวกเธอแจ้งเตือนว่า กำลังถูกติดตามตำแหน่งหลังจากออกไปชอปปิง โดยถูกติดตามจากอุปกรณ์ที่ไม่รู้จักเช่นกัน
นี่เป็นเพียงไม่กี่ตัวอย่างจากหลาย ๆ เคสที่มีการใช้ AirTag เพื่อสะกดรอยตามและละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น เฉพาะในสหรัฐฯ มีตำรวจในนิวยอร์ก แมรีแลนด์ ไอดาโฮ โคโลราโด จอร์เจีย มิชิแกน และเทกซัส ได้รับรายงานว่ามีการใช้ AirTags เพื่อสะกดรอยตามบุคคล หรือติดตามรถยนต์เป้าหมายสำหรับการโจรกรรม ยังไม่นับเคสอื่นที่เกิดขึ้นในอีกหลายประเทศ
ทำความรู้จัก "Broken Heart Syndrome" เครียดเกินไปอาจทำร้ายหัวใจคุณ
วิธีป้องกันการถูกติดตามจาก AirTag
หลังจากเริ่มมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ใช้งานและสื่อหลายสำนัก ทำให้ช่วงต้นเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา ทางแอปเปิลเผยแพร่คู่มือความปลอดภัยฉบับอัปเดต
โดยระบุว่า ทั้ง AirTag และระบบ Find My ได้รับการออกแบบโดยเน้นความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้เป็นหลัก อุปกรณ์เสริมเครือข่าย AirTag และ Find My มีตัวระบุ Bluetooth เฉพาะที่เปลี่ยนแปลงบ่อยๆ เพื่อป้องกันการติดตามที่ไม่พึงประสงค์
Find My จะแจ้งให้คุณทราบหาก AirTag ที่ไม่รู้จักหรืออุปกรณ์เสริม Find My อื่น ๆ เคลื่อนที่ไปพร้อมกับคุณเมื่อเวลาผ่านไป โดยส่งข้อความถึงคุณว่า “ตรวจพบอุปกรณ์ที่ไม่รู้จักใกล้ตัวคุณ” (คุณสมบัตินี้มีให้ใช้งานบนไอโฟน ไอแพด หรือไอแพดทัช ที่ใช้ iOS 14.5 ขึ้นไป
สำหรับผู้ที่ใช้งานอุปกรณ์ระบบแอนดรอยด์ ทางแอปเปิลก็ได้พัฒนาแอปฯ Tracker Detect ขึ้นมา เพื่อให้คนที่ใช้แอนดรอยด์ตรวจสอบได้ว่า มีอุปกรณ์ AirTag อยู่ใกล้ตัวหรือติดตามมาหรือไม่
นอกจากการแจ้งเตือนผ่านโทรศัพท์ของคุณเองแล้ว เมื่อ AirTag อยู่ห่างจากเจ้าของนานเกิน 8-24 ชั่วโมง ก็จะส่งเสียงสัญญาณความดังระดับ 60 เดซิเบลออกมา ซึ่งอาจทำให้ผู้ที่ถูกติดตามอยู่รู้ตัวได้
หากทราบว่าคุณถูก AirTag สะกดรอยตามอยู่ คุณสามารถค้นหา AirTag เจ้าปัญหา แล้วนำไปมอบให้กับร้านค้าของแอปเปิล หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อติดตามตัวเจ้าของได้
ทางด้านบริษัทแอปเปิลให้คำมั่นสัญญาว่า จะให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการตรวจสอบข้อมูลของ AirTag ที่ติดตามผู้ที่แจ้งความมา ไม่ว่าจะติดอยู่กับตัวบุคคลหรือทรัพย์สิน
“เราให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของลูกค้าเป็นอย่างมาก และมุ่งมั่นที่จะรักษาความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย” โฆษกแอปเปิลกล่าว
อย่างไรก็ตาม วิธีป้องกันและแก้ปัญหาภัยคุกคามจาก AirTag ที่มีในปัจจุบัน อยู่ในระดับที่ยังไม่เพียงพอในความเห็นของผู้ใช้งานบางราย เช่น เมื่อททราบว่าถูกติดตาม บางครั้งตัวผู้ก่อเหตุนำ AirTag ไปซ่อนไว้ในจุดที่เข้าถึงยาก หรือยากแก่การหาเจอ ทำให้ไม่สามารถถอดอุปกรณ์ติดตามออกมาได้ หรือระบบเสียงเตือนของ AirTag แปลกหน้า ก็มีผู้ให้ความเห็นว่า ระดับความดัง 60 เดซิเบล ดังเท่ากับเสียงคนพูดคุยกันหรือเสียงฝนตกเท่านั้น หากนำไปซ่อนในบางที่ก็อาจจะไม่ได้ยิน
มนุษย์พัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกสบายและแก้ไขปัญหาที่พบเจอในชีวิต แต่ในขณะเดียวกัน หากมีผู้นำเทคโนโลยีมาใช้อย่างไม่ถูกทาง มันก็จะกลายเป็นดาบสองคมที่ย้อนกลับมาทำร้ายเราเอง
เรียบเรียงจาก Apple/ BBC / The Guardian / Wall Street Journal
ภาพจาก Apple