ลูกทีมของ โธมัส ทูเคิ่ล ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในเกมรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก นัดที่ 2 หลังเปิดบ้านเอาชนะ เรอัล มาดริด 2-0 จากประตูของ ติโม แวร์เนอร์ กับ เมสัน เมาท์ ทำให้ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศไปพบกับ แมนฯซิตี้ สโมสรร่วมชาติด้วยสกอร์ 3-1 พร้อมทำสถิติเป็นสโมสรแรกในโลกที่ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศถ้วยใบใหญ่ของยุโรปได้ทั้งทีมชาย-ทีมหญิงในฤดูกาลเดียวกัน
เปิดข้อมูลน่าสนใจหลัง เชลซี เข้าชิง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก
เหลือแค่ค่าตัว!! ลิเวอร์พูล เตรียมปิดดีลคว้า "โคนาเต้" ร่วมทัพ
หลังทีมหญิง เพิ่งปราบ บาเยิร์น มิวนิค ด้วยสกอร์ 5-3 ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศกับ บาร์เซโลน่า ในวันอาทิตย์ที่ 16 พ.ค. ส่วนทีมชายจะพบกับ “เรือใบสีฟ้า” ในคืนวันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม
นอกจากนี้ยังเป็นครั้งที่ 7 ในประวัติศาสตร์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกแล้ว ที่คู่ชิงชนะเลิศมาจากชาติเดียวกัน โดยสโมสรจาก อังกฤษ และ สเปน เข้าชิงกันเองชาติละ 3 ครั้ง อีก 1 ครั้งเป็นสโมสรจากอิตาลี
ตัวแทน “อังกฤษ” ชิงกันเองใน UCL
2008 : แมนฯยูไนเต็ด-เชลซี
2019 : ลิเวอร์พูล-สเปอร์ส
2021 : แมนฯซิตี้ - เชลซี
ตัวแทน “สเปน” ชิงกันเองใน UCL
2000 : เรอัล มาดริด-บาเลนเซีย
2014 : เรอัล มาดริด-แอตเลติโก มาดริด
2016 : เรอัล มาดริด-แอตเลติโก มาดริด
ด้าน โธมัส ทูเคิ่ล สร้างประวัติศาสตร์เป็นกุนซือคนแรกในโลกที่สามารถนำทีมเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้ 2 ฤดูกาลติดต่อกัน แต่เป็นคนละทีม หลังเมื่อซีซั่นที่แล้ว ทูเคิ่ล นำ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศกับ “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค แต่ก็พ่ายไป 0-1 พลาดแชมป์
ส่วนในปีนี้ ทูเคิ่ล ยอมรับว่า ลูกทีมของเขามีความมั่นใจอย่างมากหลังผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ โดยถึงแม้จะต้องเจอกับ แมนฯซิตี้ ที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ก็ยังเชื่อมั่นว่า เชลซี มีสิทธิ์คว้าแชมป์ได้เช่นกัน
นอกจากนี้ตั้งแต่ ทูเคิ่ล เข้ามาคุมทีม เชลซี เดือน ม.ค.ที่ผ่านมา เจ้าตัวเอาชนะกุนซือชื่อดังของโลกไปแล้วหลายคนทั้ง ซีเนดีน ซีดาน (เรอัล มาดริด), เป๊ป กวาร์ดิโอล่า (แมนฯซิตี้), เจอร์เก้น คล็อปป์ (ลิเวอร์พูล), โชเซ่ มูรินโญ่ (สเปอร์ส), คาร์โล อันเชล็อตติ (เอฟเวอร์ตัน) และ ดิเอโก้ ซิเมโอเน่ ของแอตเลติโก มาดริด 2 นัด