ปรีวิว พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
อาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม 2564
(6) แมนฯ ยูไนเต็ด-ลิเวอร์พูล (2)
สนาม : โอลด์ แทรฟฟอร์ด เวลาคิกออฟ : 21.30 น.
ผู้ตัดสิน : แอนโธนี่ เทย์เลอร์
ผลงานการพบกันในฤดูกาลที่ผ่านมา
13 พ.ค.2564 แมนฯ ยูไนเต็ด 2-4 ลิเวอร์พูล (พรีเมียร์ลีก)
25 ม.ค.2564 แมนฯ ยูไนเต็ด 3-2 ลิเวอร์พูล (เอฟเอ คัพ รอบ 32 ทีมสุดท้าย )
17 ม.ค.2564 ลิเวอร์พูล 0-0 แมนฯ ยูไนเต็ด (พรีเมียร์ลีก)
“คล็อปป์” ยัน "เคอร์ติส โจนส์" ฟิตทันลงเกมแดงเดือด
"ซาลาห์" หวานหยอดอยากอยู่กับลิเวอร์พูลยันแขวนสตั๊ด
แมนฯ ยูไนเต็ด
ผลงาน 5 นัดหลังสุด
20 ต.ค.2564 ชนะ อตาลันต้า 3-2 (เหย้า) ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
16 ต.ค.2564 แพ้ เลสเตอร์ 2-4 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
2 ต.ค.2564 เสมอ เอฟเวอร์ตัน 1-1 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
29 ก.ย.2564 ชนะ บียาร์เรอัล 2-1 (เหย้า) ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
25 ก.ย.2564 แพ้ แอสตัน วิลล่า 0-1 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
สภาพทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ที่ผลงานขึ้นๆ ลงๆ สัปดาห์ก่อนในลีก บุกไปแพ้ เลสเตอร์ 2-4 จากนั้นในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีกกลางสัปดาห์ พลิกกลับมาชนะ อตาลันต้า 3-2 ทั้งที่ครึ่งแรกเป็นฝ่ายตามหลัง 0-2 เกมนี้ ยังคงไม่ ราฟาแอล วาราน ปราการหลังตัวหลัก ที่เจ็บจากเกมยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก นัดชิงที่เล่นให้ฝรั่งเศส โดยล่าสุดกลับมาซ้อมได้แล้ว ขณะที่ มาร์คัส แรชฟอร์ด และ บรูโน่ แฟร์นันด์ส และ เฟร็ด ก็มีอาการเจ็บหลังจบเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ต้องลุ้นในเรื่องความฟิตว่าจะกลับมาทันเกมนี้หรือไม่ ด้าน ปอล ป็อกบา ที่เกมเดียวกันนั้นเป็นสำรอง น่าจะได้กลับมาสตาร์ต ขณะที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ฮีโร่ทำประตูชัยในเกมชนะ อตาลันต้า จะยืนเป็นหน้าเป้าตามเดิม
ผู้เล่น 11 คนแรกที่คาดว่าจะลงสนาม
แมนฯ ยูไนเต็ด (4-2-3-1) : ดาบิด เด เคอา; อารอน วาน-บิสซาก้า, วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ, แฮร์รี่ แม็กไกวร์, ลุค ชอว์; สกอตต์ แม็คโทมิเนย์,ปอล ป็อกบา ; เมสัน กรีนวู้ด, บรูโน่ แฟร์นันด์ส,เจดอน ซานโช่ ; คริสเตียโน่ โรนัลโด้
ลิเวอร์พูล
ผลงาน 5 นัดหลังสุด
19 ต.ค.2564 ชนะ แอต.มาดริด 3-2 (เยือน) ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
16 ต.ค.2564 ชนะ วัตฟอร์ด 5-0 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
3 ต.ค. 2564 เสมอ แมนฯ ซิตี้ 2-2 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
28 ก.ย.2564 ชนะ ปอร์โต้ 5-1 (เยือน) ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
25 ก.ย.2564 เสมอ เบรนท์ฟอร์ด 3-3 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
สภาพทีมลิเวอร์พูล
เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่พาทีมยังไม่แพ้ในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ (ชนะ 5 เสมอ 3) ต้องดูว่า จะเลือกส่ง ดีโอโก้ โชต้า ลงเล่นในแดนหน้าตั้งแต่ต้นเกม หรือเลือกใช้ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ที่เพิ่งทำแฮตทริกในเกมบุกไปถล่ม วัตฟอร์ด 5-0 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเกมรุกฝากความหวังไว้ที่ โมฮัมเหม็ด ซาล่าห์ แข้งฟอร์มร้อนที่เพิ่งซัดเบิ้ลในเกมบุกชนะแอตเลติโก้ มาดริด 3-2 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก พร้อมทั้งกลายเป็นแข้ง ลิเวอร์พูลคนแรกที่ทำประตู 9 เกมติด ด้าน อลีสซอน เบ็คเกอร์ ผู้รักษาประตูมือ 1 และ ฟาบินโญ่ กองกลางตัวรับ ที่ไม่ได้เล่นในเกมลีกสัปดาห์ที่แล้ว หลังเดินทางไปเล่นให้ทีมชาติบราซิล ในศึกฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนอเมริกาใต้ จะออกสตาร์ตเป็นตัวจริง ส่วน เคอร์ติส โจนส์ หายเจ็บฟิตกลับมาเป็นตัวเลือก แต่ ติอาโก้ อัลกันตาร่า ยังคงต้องรักษาอาการบาดเจ็บน่องต่อไป เช่นเดียวกับ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ มิดฟิลด์ดาวรุ่ง ที่อยู่ระหว่างฟื้นฟูร่างกายหลังผ่าตัดข้อเท้าบิด
ผู้เล่น 11 คนแรกที่คาดว่าจะลงสนาม
ลิเวอร์พูล (4-3-3) : อลีสซอน เบ็คเกอร์; เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โฌเอล มาติป, เฟอร์กิล ฟาน ไดจ์ค, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ; จอร์แดน เฮนเดอร์สัน,ฟาบินโญ่, เคอร์ติส โจนส์ ; โมฮาเหม็ด ซาล่าห์, ดีโอโก้ โชต้า, ซาดิโอ มาเน่
เกร็ดน่าสนใจก่อนเกม
-คู่นี้พบกันมาแล้ว 236 นัดในทุกรายการ แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ 89 นัด ลิเวอร์พูล ชนะ 78 นัด และลงเอยด้วยการเสมอ 68 เกม (อ้างอิง https://manchesterunitedlatestnews.com)
-พบกันในพรีเมียร์ลีก 58 นัด แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ 28 นัด เก็บคลีนชีท 18 นัด ลิเวอร์พูล ชนะ 26 นัด เก็บคลีนชีท 15 นัด และเสมอกันไป 14 นัด
-นัดนี้ถือเป็นการพบกันในลีกครั้งที่ 177 ซึ่งผลการแข่งขันระหว่างทั้งสองทีมที่พบมากที่สุดคือลงเอยด้วยผลเสมอ 0-0 (ซึ่งเกิดขึ้นถึง 20 ครั้ง)
-แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ชนะแม้แต่เกมเดียวในเกมพรีเมียร์ลีก 3 นัดหลัง ขณะที่ ลิเวอร์พูล 8 เกมลีกนับตั้งแต่ออกสตาร์ต ยังไม่แพ้ (ชนะ 5 เสมอ 3)
-การพบกันของทั้งคู่ในลีก 10 เกมหลังมีถึง 6 เกมที่ลงเอยด้วยผลเสมอ และ ลิเวอร์พูล แพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพียงนัดเดียวเท่านั้น
-พบกัน 6 นัดหลังสุดในพรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูล ไม่เคยแพ้ (ชนะ 3 เสมอ 3)
-แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะเพียงเกมเดียวใน 10 เกมลีกหลังสุดที่พบกับลิเวอร์พูล (เสมอ 6 แพ้ 3) โดยการแพ้ครั้งล่าสุดคือเมื่อฤดูกาลที่แล้ว แพ้ไปด้วยสกอร์ 2-4 ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด
-แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ 8 แต้มจาก 7 เกมลีกในบ้านก่อนหน้านี้ (ชนะ 2 เสมอ 2 แพ้ 3)
-ฤดูกาลที่แล้ว แมนฯ ยูไนเต็ด เสียไปถึง 4 ประตูในเกมพรีเมียร์ลีกเป็นครั้งที่ 5 ในการเล่นในบ้านเมื่อพบกับลิเวอร์พูล ทีมสุดท้ายที่ทำประตูได้ 4 ประตูหรือมากกว่าในการบุกมาเยือน โอลด์ แทรฟฟอร์ดในลีกสูงสุดคือ เบิร์นลีย์ ที่บุกมาชนะ 2 ฤดูกาลติดต่อกัน คือในฤดูกาล 1961-1962 (ชนะ 4-1) และ 1962-1963 (ชนะ 5-2)
-ลิเวอร์พูลทำได้ 3 ประตูหรือมากกว่า กับการเล่น 8 เกมเยือนติดต่อกันในทุกรายการ โดยทำไป 28 ประตูรวม
-ลิเวอร์พูลไม่แพ้ 18 เกมลีกหลังสุด (ชนะ 13 เสมอ 5) ซึ่งเป็นสถิติที่ยาวที่สุดในลีกสูงสุด 4 อันดับแรกของฟุตบอลอังกฤษในปัจจุบัน โดยทีม “หงส์แดง” ยิงได้อย่างน้อย 3 ประตูใน 5 เกมเยือนหลังสุดในลีก (รวม 17 ประตู) โดยมีเพียงแมนฯ ยูไนเต็ดในฤดูกาลที่แล้วเท่านั้นที่มีสถิติดีกว่าที่ 6 นัดติดต่อกัน
-มาร์คัส แรชฟอร์ด ยิงไปแล้ว 4 ประตูในพรีเมียร์ลีกจากการลงสนาม 8 นัดที่พบกับลิเวอร์พูล โดยมีผู้เล่นเพียงคนเดียวที่ทำประตูให้ยูไนเต็ดได้มากกว่าในเกมกับที่พบกับทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์ นั่นก็คือเวย์น รูนี่ย์ ที่ทำได้ 6 ประตู
-โมฮัมเหม็ด ซาล่าห์ เวลานี้ทำสถิติยิง 9 นัดติดต่อกันให้ ลิเวอร์พูล ฤดูกาลที่แล้ว ในการเจอกันที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด 2 นัด ( 2 ประตูในเอฟเอ คัพ และ 1 ประตูในเกมพรีเมียร์ลีก) และหากเกมนี้ทำประตูได้ จะกลายเป็นผู้เล่นลิเวอร์พูลคนแรก ที่ทำประตูได้ 3 นัดติดกันที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด
-โมฮัมเหม็ด ซาล่าห์ จะกลายเป็นนักเตะคนแรก ที่ทำประตูเกมเยือนในลีกนับตั้งแต่ออกสตาร์ตติดกัน 5 นัด โดยแข้ง ลิเวอร์พูล คนล่าสุดที่ทำได้ คือ แซม เรย์บูลด์ ในปี 1902
-10 ประตูหลังสุดในพรีเมียร์ลีกของ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ มาจากการทำประตูเกมนอกบ้าน โดยผู้เล่นเพียง 3 คนเท่านั้นที่ทำประตูได้มากกว่า ดาวเตะทีมชาติบราซิล นั่นก็คือ ไรอัน กิ๊กส์ และ แฮร์รี่ เคน (13 ประตู) และ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ (11 ประตู)